อุตสาหกรรมดนตรีเคป็อปในอเมริกา

ความสามารถในการเข้าถึงนี้เป็นค่าคงที่สำหรับแฟน ๆ ต่างชาติ  อุตสาหกรรมดนตรี  ที่แม้จะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษา แต่ก็สามารถพบความคล้ายคลึงกันผ่านบุคลิกภาพ อารมณ์ขันดนตรีหรืออาหาร อุปสรรคด้านภาษากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับแฟนๆ

ด้วย Google แปลภาษาและฟีเจอร์การแปลอัตโนมัติบน Youtube, VLive และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ศิลปินเคป๊อปเหล่านี้มักจะสะท้อนอย่างแรงกล้ากับ Black, Latinx, LGBTQ และโดยเฉพาะแฟน ๆ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่างมาก

เมื่อมองเข้าไปในอุตสาหกรรมดนตรีของอเมริกาแล้ว การขาดความหลากหลายนั้นปรากฏชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย นักดนตรี นักร้อง และพนักงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในเอเชียคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 4% ในอุตสาหกรรมเพลงของอเมริกา เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือกลุ่มผิวขาวที่ 73% และกลุ่มที่ใหญ่เป็นอันดับสองคือกลุ่มคนผิวดำ

โดยมี 13% ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียสองสามคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคและการเลือกปฏิบัติมากมาย ศิลปินอย่าง Jay Park ที่เกิดในวอชิงตัน มักจะจบลงด้วยการย้ายไปอยู่ประเทศต่างๆ เช่น เกาหลีใต้ ซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพมากขึ้น

สำหรับหลายๆ คน ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเคป๊อปได้กลายเป็นสัญญาณของการยอมรับหรือเป็นตัวแทนในเอเชียในอุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกา ด้วยเหตุนี้ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เช่น ดีเจชื่อดัง Steve Aoki และกลุ่มดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ Far East Movement

ด้ต้อนรับศิลปินจากเอเชียอย่าง BTS อย่างเปิดเผย การยอมรับ “ดนตรีต่างประเทศ” ของพวกเขาช่วยลดการเหมารวมที่อยู่รอบ ๆ ศิลปินและกลุ่มเหล่านี้ การโปรโมตว่านักดนตรีเหล่านี้ไม่เพียงแค่ผ่านได้และ เจ๋งสำหรับชาวเอเชียแต่ยอมรับและหวงแหนสำหรับพรสวรรค์และการทำงานหนัก

นอกจากนี้ ศิลปินเหล่านี้หลายคนมีความกระตือรือร้นในการทำลายทัศนคติทางสังคมและเพศสภาพ สำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก ไอดอลชายเกาหลีนั้นเข้ากันได้ดีกับมาตรฐานความงามแบบผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับวัฒนธรรมของพวกเขา

ศิลปินชายมักจะแสดงกิจวัตรการดูแลผิว แต่งหน้า หรือแสดงความรักต่อเพื่อนผู้ชาย แม้ว่าความเป็นชายที่เป็นพิษจะมีอยู่ทั่วโลก แต่ศิลปินเหล่านี้หลายคนพยายามที่จะทำลายมันด้วยการแสดงและดนตรี สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนความเชื่อที่ว่าการนำเสนอเรื่องเพศไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ

แต่อย่างใดซึ่งพบในวัฒนธรรมเกาหลี นี่เป็นอีกหนึ่งลักษณะเฉพาะของกลุ่มเหล่านี้ที่ส่งเสริมให้ฐานแฟนคลับทุกวัยและทุกเพศมีความมั่นใจทั้งในตัวตนและรูปลักษณ์ของพวกเขา

นอกเหนือจากการมอบเพลงที่น่าจดจำและท่าเต้นที่ท้าทายให้กับแฟนเบสของพวกเขาแล้ว ศิลปินเกาหลีจำนวนมากยังกระตือรือร้นในการตอบแทนผ่านบริการอีกด้วย กลุ่ม K-pop จำนวนมากเป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นและเป็นพันธมิตรกับองค์กรการกุศลที่มีชื่อเสียง กลุ่มที่มีชื่อเสียงเช่น EXO และ BTS เป็นที่รู้จักจากความร่วมมือและการบริจาคให้กับสหประชาชาติ การสาธิตอิทธิพลทางการเมืองของแฟนดอม K-pop ที่มีชื่อเสียง

และทรงพลังที่สุดในสหรัฐอเมริกาคือระหว่างการประท้วงเรื่อง Black Lives Matter ชาวอเมริกันรู้สึกชื่นชมและเป็นที่รักของศิลปินเกาหลีที่พวกเขาชื่นชอบสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องที่แสดงต่อประเด็นทางสังคมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อฐานแฟน ๆ ส่วนใหญ่

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  ufabet

เติร์กเมนิสถาน หาวิธีดับไฟในหลุมก๊าซ

ซึ่งหลุมก๊าซธรรมชาติที่อยู่ที่ประเทศเติร์กเมนิสถานแล้วก็จริงๆเกิดขึ้น หาวิธีดับไฟในหลุมก๊าซ จากฝีมือของมนุษย์เนื่องจากว่าวิศวกรได้เข้าไปสำรวจขุดเจาะน้ำมันตั้งแต่ยุคสมัยสหภาพโซเวียต 

หลังจากนั้นก็มีการจุดไฟเพื่อที่จะทำลายก๊าซที่เกิดขึ้นอยู่ในกลุ่มนี้แต่ปรากฏว่าจุดไฟยังไงการ์ดมันก็ยังไม่หมดไปไฟก็ยังลุกไหม้แบบนี้อย่างต่อเนื่องมานานถึง 50 กว่าปีแล้ว 

ล่าสุดทางผู้นำเติร์กเมนิสถานก็ได้ออกมาเรียกร้องให้ช่วยกันหาวิธีการหาแนวทางที่จะดับไฟในหลุมนี้ให้ได้ 

ลักษณะของไฟในหลุมนี้ที่มีความกว้าง 70 เมตรแล้วก็มีความลึกถึง 30 เมตรหลายๆคนที่ไปอยู่ในจุดนี้ก็มีการถ่ายภาพทั้งในระยะใกล้แล้วก็ถ่ายมุมสูงมีการตั้งฉายาว่าเหมือนกับเป็นประตูนรกไม่มีผิด 

เพราะว่ามีไฟลุกขึ้นมาแบบนี้เป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปีและก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะดับลงอย่างง่ายๆ ซึ่งทางผู้นำมองว่าถ้าหากว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้จะส่งผลทำให้ประเทศเติร์กเมนิสถานนั้นต้องเสียทรัพยากรไปอย่างมหาศาล

เพราะฉะนั้นแล้วตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมไปด้วยเหมือนกันประธานาธิบดีได้แถลงผ่านสื่อโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องไปเร่งหาวิธีการดับไฟในหลุมก๊าซDava ที่อยู่กลางทะเลดารากลุ่ม 

ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงอาชกาบัต เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถานไปทางเหนือซักประมาณ 260 กม. เพราะว่าหลุมนี้ส่งผลกระทบทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมแล้วก็เศรษฐกิจด้วย

สำหรับหลุมการ์ดที่ว่านี้มีความกว้างซักประมาณสักราวๆ 70 เมตร แล้วก็มีความลึก 30 เมตรจริงๆเกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดของมนุษย์เพราะว่าระหว่างที่วิศวกร 

กำลังขุดเจาะสำรวจน้ำมันตั้งแต่ในยุคสหภาพโซเวียตปรากฏว่าคุณไปเจอโพรงซึ่งโพรงนี้มันเต็มไปด้วยก๊าซจำนวนมากจนทำให้พื้นดินจุดที่ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันยุบตัวลงไปกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ในตอนนี้และ

ในช่วงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ก๊าซแพร่กระจายออกไปอย่างที่อื่นบรรดาวิศวกรโซเวียตจึงได้ตัดสินใจจุดไฟขึ้นมาเพื่อที่หวังว่าก๊าซจะถูกเผาไม่จนหมด 

โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันแต่จากไม่กี่วันกลายเป็นเดือนกลายเป็นปีจนผ่านมาหลายสิบปีทางการเติร์กเมนิสถานก็ยังหาวิธีดับไฟในจุดนี้ไม่ได้ที่ผ่านมาทางผู้นำก็เคยออกคำสั่งให้มีการดับไฟแล้วก็ปิดหลุมก๊าซดาร์วาซามาแล้วรอบหนึ่งก็คือเมื่อปี2010หรือว่า 10 กว่าปีที่แล้ว 

ซึ่งในครั้งนั้นก็ย้ำว่าหลุมที่มนุษย์ทำขึ้นมาแบบนี้มันส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนโดยรวมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแล้วก็มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่หาวิธีการในการดับไฟที่หลุมดาร์วาซานี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพราะว่าประเทศกำลังสูญเสียทรัพยากรอันมีค่ามากมายมหาศาล

 

สนับสนุนโดย.  ufabet

Body shaming

“อ้วนขึ้นป่ะเนี่ย”

“ทำไมขาใหญ่เหมือนโต๊ะสนุ๊กเลย”

“ผอมเป็นไม้เสียบผีแล้ว”

“หน้ามีแต่รอยสิว”

ประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราพบเจอกันเป็นอย่างมากในสังคมไทย และมีการใช้กันในวงกว้างทั้งที่ประโยคเหล่านี้ไม่ใช้ประโยคทักทายด้วยซ้ำ แต่ในสังคมไทยกลับใช้ประโยคเหล่านี้เป็นประโยคทักทายผู้อื่น ฟังดูเหมือนปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำทั้งสิ้น เพราะประโยคเหล่านี้เข้าข่ายเป็น Body shaming

แล้ว Body shaming คืออะไร?

Body shaming คือ การวิจารณ์ ดูถูกรูปร่าง หน้าตา สีผิว รูปลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียน การเปรียบเทียบ จนอาจจะทำให้ผู้อื่นเกิดความอับอาย ส่งผลกระทบถึงจิตใจและทำให้ผู้อื่นเสียความมั่นใจ บางครั้งอาจถึงขั้นทำให้ผู้อื่นรู้สึกบั่นทอนความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองลงไปด้วย การพูดเชิงลักษณะนี้แม้จะเป็นเพียงการล้อเล่น แต่ก็ไม่ต่างจากการล้อปมด้อย การประณามความบกพร่องหรือเหยียดหยามร่างกายของผู้อื่น เพราะมีแต่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่ รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญอาจทำให้เกิดเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจฝังอยู่ในหัวของผู้อื่นได้ 

เราทุกคนต่างรู้ดีว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนต่างมีความบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น แต่เราไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเอาความบกพร่องของผู้อื่นมาล้อเลียน หรือเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันโดยเอาประโยคเชิง Body shaming มาทักทายผู้อื่น แล้วยิ่งเป็นการทักทายในที่สาธารณะ ต่อหน้าผู้คนเยอะๆ ยิ่งไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความอับอายหนักขึ้นไปอีก บางคนถึงขั้นกลัวการไปเจอผู้คนเยอะๆ ไม่กล้าออกไปที่สาธารณะด้วยซ้ำ ถ้าเราไม่อยากเผลอทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่ เราเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมที่เราคุ้นชินให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น การเปลี่ยนคำทักทายจากเดิมที่เคยทักทายผู้อื่นด้วยประโยคเชิง Body shaming ให้เป็นประโยคทักทายธรรมดาทั่วไป เปลี่ยนจากการเล่นมุขตลกเกี่ยวกับร่างกายผู้อื่นเป็นการเล่นมุขตลกในเรื่องอีก เปลี่ยนจากการล้อเลียนความบกพร่องในหน้าตา ผิวพรรณ รูปร่างของผู้อื่นเป็นชื่นชม เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นนี้นอกจากจะส่งผลดีต่อผู้อื่นแล้วยังส่งผลดีต่อตัวเราด้วย เพราะนั่นจะทำให้เราดูเป็นสุภาพขึ้น เป็นคนที่รู้จักคิดถึงจิตใจผู้อื่น รู้จักคิดก่อนพูด เคยได้ยินประโยคที่ว่า “การที่เราพูดถึงคนอื่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่นั่นจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนแบบไหน” ถ้าเช่นนั้นแล้วหากเราพูดถึงผู้อื่นในแง่ที่ไม่ได้แสดงว่าผู้อื่นเป็นคนไม่ดี แต่นั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเราเองต่างหากที่เป้นคนไม่ดี ถ้าเราไม่อยากเป็นคนที่ดูไม่ดี เราก็ไม่ควรจะทำอะไรที่จะส่งผลให้เราเป็นคนไม่ดี 

เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แต่เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาความบกพร่องของผู้อื่นมาพูดเพื่อกลบความบกพร่องของตัวเอง หรือพูดเพื่อให้เป็นเรื่องตลกขบขัน การจะสร้างความตลกไม่จำเป็นต้องล้อเลียน เหยียดหยาม ดูถูกรูปร่าง หน้าตา รูปลักษณ์ สีผิวของผู้อื่นเลย รวมถึงการพูดเพื่อติเตียนผู้อื่นด้วย พูดเพื่ออยากให้ผู้อื่นปรับปรุงตัว ดูแลตัวเอง เพราะหากเราหวังดีกับผู้อื่นจริงๆ เราไม่จำเป็นจะต้องพูดในเชิง Body shaming ก็ได้ แค่มีคำแนะนำหรือคำพูดที่สุภาพก็ย่อมมีเสน่ห์และน่าฟังมากกว่าแล้ว

 

สนับสนุนโดย  ufabet

ลูกชายแทงพ่อเลี้ยงดับ

      เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. ภูหลวงของจังหวัดเลย ได้รับจากว่ามีเหตุฆ่ากันตาย จึงได้รับไปทำการตรวจสอบ พบว่าคนที่แจ้งเหตุคือคนที่ลงมือทำร้ายคนเสียชีวิตเอง ซึ่งชายคนดังกล่าวได้ให้การกับตำรวจว่าตนเองออกไปทำธุระข้างนอกมาและกลับเข้ามาบ้านในช่วงกลางดึกประมาณตี 2 กว่าๆซึ่งเมื่อกลับมาถึงบ้านพบว่าแม่กำลังถูกสามีใหม่ ทำร้ายทั้งทุบทั้งที จนแม่ได้รับบาดเจ็บเมื่อตนเห็น

ดังนั้นจึงทนไม่ได้จึงได้พยายามที่จะเข้าไปช่วยแม่ แต่ด้วยความโกรธมาก ตนจึงบันดาลโทสะนำอาวุธปืนมายิงพ่อเลี้ยงที่กลางหัวไปหนึ่งนัด และเมื่อพ่อเลี้ยงล้มลงตนเองก็เอามีดที่พกติดตัวอยู่ออกมาแทงเข้าไปอีกรอบ ทำให้พ่อเลี้ยงถึงแก่ความตาย เมื่อเห็นดังนั้นตนเองจึงได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาในที่เกิดเหตุ พร้อมยืนรอมอบตัวกับตำรวจ

           สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัวซึ่งเหตุการณ์แรกมีผลทำให้เกิดเหตุการณ์ที่สองจนมานำถึงการสูญเสียชีวิต โดยหากสามีใหม่ของแม่ ไม่ทะเลาะตบตีกับแม่ เหตุการณ์เหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นปัญหาความรุนแรงที่สามีทำชอบต่อภรรยามีมานานมากแล้วและถึงแม้จะมีการออกกฎหมายมาคุ้มครองเกี่ยวกับการทำรุนแรงในครอบครัว

ก็ไม่ได้ทำให้คดีแบบนี้ลดลงเลย เพราะส่วนใหญ่มองว่าการตบตีกันในครอบครัวอีกฝ่ายมักไม่แจ้งความดำเนินคดีเพราะตีกันเสร็จก็กลับมาดีกัน วันรุ่งขึ้นก็ตบตีกันใหม่ วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป หากอีกฝ่ายทนได้ก็ทนเป็นที่ระบายให้เขาซ้อมไป แต่เหตุการณ์นี้เมื่อมีลูกเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์คงไม่มีลูกคนไหนที่จะทนได้ที่จะเห็นแม่ของตัวเองถูกทำร้ายแน่นอน

ถ้ามองแบบนี้แสดงว่าแม่อาจจะเคยถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายมาหลายครั้งแล้ว จนลูกชายทนเห็นแม่โดนแบบเดิมๆไม่ไหว จึงได้เข้าช่วยเหลือและทำร้ายพ่อเลี้ยงจนเสียชีวิต

        สำหรับผู้หญิงเราหากอยู่กับคู่ชีวิตแล้วต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ รองมือรองเท้าของสามีก็ไม่เห็นต้องทนอยู่ด้วยกัน เพราะตัวเองก็สามารถมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทำมาหากินเองได้โดยที่ไม่ต้องพึงพาสามีอยู่แล้ว ทำไม่ต้องทนเจ็บตัวอยู่ทุกวันด้วย อยากให้ผู้หญิงทุกคนดูเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องพึงพาผู้ชายให้หาเลี้ยงเพราะทุกวันนี้ผู้หญิงบางคนยังต้องเป็นคนหาเลี้ยงฝ่ายชายเองด้วยซ้ำ หากแม่คนนี้รักตัวเองมากพอแล้วเลิกกับสามีใหม่ไปซะตั้งแต่แรก ลูกชายคงไม่ต้องมาติดคุกเพราะช่วยแม่แบบนี้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ufabet